เชื่อว่าหลายคนคงเดาได้อยู่แล้ว ว่าอันดับแรกในลิสท์ยังไงก็ต้องเป็น หอไอเฟล ที่เรียกได้ว่าเป็นเสมือนสัญลักษณ์สำคัญของฝรั่งเศสเลย สร้างขึ้นในปี 1889 เพื่อต้อนรับแขกที่มาเที่ยวงาน World’s Fair ในปีนั้นนั่นเอง นับเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความสูงมากที่สุดในประเทศ ใครที่อยากขึ้นไปชมวิวสามารถเสียค่าเข้าชมเพื่อขึ้นไปได้ จะได้เห็นทิวทัศน์ปารีสแบบมุมสูง ที่มีด้านหน้าเป็นสวน และด้านหลังที่เป็นฝั่งแม่น้ำแซน (Seine River)
มหาวิหารมงแซ็งมิเชล อยู่ในแคว้นนอร์มังดี (Normandy) เป็นจุดศูนย์รวมความศรัทธาในคริสต์ศาสนามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปี 1979 เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็ก มีถนนเชื่อมระหว่างเกาะ และแผ่นดิน มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาอย่างคับคั่งเฉลี่ยต่อปีถึง 2.5 ล้านคน! และที่สำคัญยังเป็น 1 ในต้นแบบปราสาทของดิสนีย์ด้วย
แรนส์ เป็นเมืองทางตะวันออกของแคว้นบริททานี (Brittany) ที่เคยได้รับรางวัลให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศสด้วย ที่นี่โดดเด่นด้วยอาคารบ้านเรือนแบบยุคเรเนซองส์ หรือสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีตึกสวยๆ น่ารักๆ ให้ชมมากมาย และยังเป็นเมืองที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศด้วย
ซาเคร-เกอร์ บาซิลิก้า วิหารสีขาวในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของกรุงปารีส ความพิเศษอยู่ที่สถาปัตยกรรมแบบโรมัน-ไบแซนไทน์ เลยทำให้ที่นี่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากวิหารอื่นๆ ในยุคเดียวกัน และยังเป็นจุดชมวิวเมืองปารีสที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่ง
โกตดาซูร์ เป็นชื่อเรียกแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ลากยาวรวมไปถึงโมนาโก เป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยมที่มีรีสอร์ทมากมาย มีน้ำทะเลสวย หาดทรายสีขาว และมีแดดดีตลอดทั้งปี ทำให้ผู้คนนิยมเดินทางมาอาบแดดกันที่นี่ โดยเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโกตดาซูร์ คือเมืองนิส
มหาวิหารแบบโกธิคที่ตั้งอยู่คู่เมืองปารีสมากว่า 850 ปีแล้ว เป็นดั่งศูนย์รวมศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ที่สำคัญของเมืองปารีส คำว่า Notre Dame แปลว่า แม่พระ (Our Lady) ซึ่งเป็นคำที่ชาวคาทอลิกใช้เรียกพระนางมารีย์ แม้จะเคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปีค.ศ. 2019 แต่ก็ได้รับการรบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่จนกลับมาสวยงามดังเดิม
พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles) ที่โด่งดังด้วยความยิ่งใหญ่ หรูหราตระการตา อลังการทั้งภายนอกภายใน มีห้องหับอยู่มากมายถึง 700 ห้อง พร้อมจิตรกรรม และประติมากรรมประดับตกแต่งด้วยหินอ่อน และวัสดุที่ดีเยี่ยม พระราชวังแวร์ซายได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ในปี 1979
เมืองกอลมาร์ เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอ-แร็ง ในแคว้นอาลซัส เป็น 1 ในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสามารถอนุรักษ์เมืองให้ยังคงลักษณะสถาปัตยกรรม และบรรยากาศของเมืองโบราณได้เป็นอย่างดี และยังมีอีกสมญานามว่า ลิตเติ้ลเวนิสแห่งฝรั่งเศส ด้วย เพราะเมืองยังคงมีคลองตัดผ่าน สามารถล่องเรือชมเมืองได้ทั่ว ด้วยบรรยากาศโรแมนติกนี้เองจึงทำให้นิยมมีคู่รักมาจัดงานแต่งกันที่นี่ และของขึ้นชื่ออีกอย่างที่ห้ามพลาดของที่นี่ก็คือ ไวน์ เพราะเป็นแหล่งปลูกองุ่นใหญ่ของแคว้นอาลซัสนั่นเอง
ใครที่อยากไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ของจริง ต้องไม่พลาดเส้นทางสายลาเวนเดอร์ ที่เมือง Sault ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในแคว้นโพรวองซ์ (Provence) แคว้นที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงมากมาย และงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมัน ทุ่งลาเวนเดอร์ที่นี่ยังไม่ได้เอาไว้ถ่ายรูปเท่านั้น แต่ยังเอาไปทำผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ครีมอาบน้ำ น้ำมันหอมระเหย ลิปสติก เทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ต่างๆ
ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติกมีที่เที่ยวอิตาลีชื่อดังระดับโลกอย่าง คลองใหญ่แห่งเวนิส ซึ่งคลองสายนี้มีความยาวถึง 3,800 เมตร และกว้าง 30-90 เมตร ไหลผ่านรอบๆ เมือง ซึ่งจะเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีสถาปัตยกรรมหลากหลาย ความโดดเด่นดังกล่าว ยังทำให้ยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก เรือกอนโดลา (Gondola) กันดี เป็นเรือที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะบริเวณหัวเรือกับท้ายเรือที่มีลักษณะปลายแหลม ความยาวอยู่ที่ 4-5 เมตร กว้างประมาณ 1.2 เมตร และสามารถจุผู้โดยสารได้ 5-6 คน เดิมเป็นเรือที่ใช้ในการอพยพผู้คนที่หนีภัยสงครามในสมัยอาณาจักรโรมัน และมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เวนิส ด้วยความพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเป็นคูคลอง และทะเล เรือจึงเป็นยานพาหนะสำคัญในการเดินทางสันจร และการขนส่งของเมือง
น้ำพุแห่งนี้ คือหนึ่งในน้ำพุที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปยุโรป และยังเป็นน้ำพุแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1732 น้ำพุแห่งนี้จะมีความโดดเด่นตรงที่มีการตั้งประติมากรรมโอเชียนัส ซึ่งเป็นเทพเจ้าเนปจูน เทพแห่งน้ำ เอาไว้บริเวณกลางน้ำพุ เพื่อแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ โดยด้านข้างจะมีไททัน เทพแบบครึ่งคนครึ่งปลา ที่แสดงลักษณะท่าทางแตกต่างกัน
กิจกรรมยอดนิยมที่ไม่ควรพลาด เมื่อมาที่น้ำพุแห่งนี้ ก็คือการโยนเหรียญอธิษฐาน ซึ่งสามารถใช้เหรียญอะไรก็ได้ แล้วอธิษฐานว่าขอให้ได้กลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังเพื่อโยนเหรียญข้ามไหล่ซ้าย เข้าไปยังบริเวณน้ำพุ ถ้าหากเหรียญหล่นไปใต้น้ำพุ แสดงว่าคุณจะมีโอกาสได้กลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง กลายเป็นความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติที่นักท่องเที่ยวอิตาลี จะต้องทำกัน โดยเหรียญจำนวนมหาศาลที่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนอิตาลีโยนเข้ามานั้น จะถูกนำไปบริจาคช่วยบำรุงดูแลซุปเปอร์มาร์เก็ตสำหรับผู้ยากไร้ในกรุงโรม
ที่เที่ยวอิตาลีแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่ โดยมีลักษณะเป็นสนามกีฬาโบราณขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นในช่วงจักรวรรดิโรมัน โดยจักรพรรดิเวสเปเชี่ยน มีลักษณะเด่นอยู่ที่อัฒจันทร์รูปวงกลม ที่สามารถจุคนได้มากถึง 50,000 คน จนได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยมีการสร้าขึ้นในสมัยโรมัน แม้ว่าจุดประสงค์ในการใช้งาน เมื่อสมัยอดีต จะมีไว้เพื่อประลองฝีมือของเหล่ากลาดิเอเตอร์ รวมไปถึงการประลองของนักโทษประหารชีวิตหรือคุมขัง กับสัตว์ป่าที่มีนิสัยดุร้ายต่างๆ แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการประหารชีวิต ซึ่งจะมีการส่องไฟสีเหลืองถ้าหากมีการยกเลิกโทษประหารชีวิตจากประเทศต่างๆ ในโลก
การจะเข้าไปเที่ยวชมในโคลอสเซียม จะต้องซื้อตั๋วเข้าไปด้านใน หากใครที่มาเที่ยวอิตาลีด้วยตัวเอง ไม่ได้อาศัยไกด์นำเที่ยวก็ไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่ก็ยังมีบริการให้เช่าอุปกรณ์บรรยายเสียงเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ด้านในโคลอสเซียม และถ้าหากคุณเข้าไปเยี่ยมชมด้านในก็อย่าพลาดชม Hypogeum ซึ่งเป็นชั้นใต้ดินเอาไว้เก็บตัวนักประลองในสมัยโบราณ
มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ หรือชื่อเต็มว่า มหาวิหาร เซ็นต์ ปีเตอร์ส บาซิลิกา ถือเป็นหนึ่งใน 4 ของมหาวิหารเอก ตั้งอยู่ในเขตรัฐวาติกัน และเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในรัฐวาติกัน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของคริสตจักรโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในรูปแบบบาซิลิกา
มหาวิหารแห่งนี้ยังมีอีกชื่อว่า มหาวิหาร นักบุญเปโตร เนื่องจากเชื่อว่า เป็นที่ฝังร่างของนักบุญเปโตร ผู้ซึ่งเป็นบิชอปองค์แรก ของคริสตจักร และต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปา องค์แรกของกรุงโรม ทำให้ต่อมาวิหารแห่งนี้ยังเป็นที่ฝังร่างของพระสันตะปาปาองค์ถัดๆ มา โดยฝังมากกว่า 91 องค์ นักท่องเที่ยวจึงมักจะนิยมแวะมาสักการะนักบุญเปโตร และยังเยี่ยมชมในบริเวณ จัตุรัสเซ็นต์ปีเตอร์ ซึ่งเป็นลานวงกลมขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยเสาหินใหญ่หลายสิบต้น หากคุณต้องการไปเยี่ยมชมในวิหาร จะต้องแต่งกายให้สุภาพ เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
มหาวิหารแห่งนี้ ถือเป็นวิหารที่มีความเก่าแก่ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นในช่วง 20 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยแม่ทัพ Marcus Agrippa ดังนั้นวิหารแห่งนี้จึงมีอายุเก่าแก่ถึง 2,000 ปีกันเลยทีเดียว จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือ มีรูปทรงจัตุรัส ด้านในนั้นจะเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งกรีก-โรมัน หลายองค์ เพราะจุดประสงค์ในการสร้างมหาวิหารแห่งนี้คือ เพื่อเป็นเทวสถานบูชาเทพเจ้าทั้ง 7 แห่งดาวในระบบสุริยะ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากๆ ในสมัยอดีต เนื่องจากเป็นการสร้างบูชาเทพเจ้าหลายองค์
สถาปัตยกรรมของมหาวิหารแห่งนี้ยังมีความโดดเด่นที่ โดมขนาดใหญ่ด้านใน มีลักษณะเป็นช่องวงกลม (Oculus) หรือที่เรียกกันว่า ช่องตา โดยตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นจุดที่แสงจะสาดส่องเข้ามาในวิหาร ดูคล้ายกับดวงตาสวรรค์ที่เชื่อมโยงมนุษย์กับเทพเจ้าเข้าด้วยกัน ดังนั้นถ้าจะมาเที่ยวที่มหาวิหารแห่งนี้ ก็ควรจะมาช่วงเวลากลางวันเพื่อที่คุณจะได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของสถาปัตยกรรมภายในได้อย่างเต็มที่
มหาวิหารแห่งนี้ มีอายุเก่าแก่มากกว่า 800 ปี ได้รับการยกย่องให้เป็นมหาวิหารที่มีความสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลี และ อันดับที่ 4 ของทวีปยุโรป มีความยาวถึง 153 เมตร และฐานของโดมที่กว้างกว่า 90 เมตร มหาวิหารดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 และออกแบบโดยฟิลิปโป บรูเนลเลสกี สถาปนิกชื่อดัง มหาวิหารแห่งนี้จะมีไฮไลท์อยู่ที่โดมสีส้มขนาดใหญ่ ตัดกับโครงสร้างอาคารที่เป็นหินอ่อนสีขาว และยังมีการตกแต่งเพิ่มด้วยหินสีเขียวและสีชมพูที่ถูกแกะสลัก ตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์ Neo Gothic
ด้านในของมหาวิหารยังมีหน้าต่างที่เป็นกระจกหลายสี อีกทั้งยังมีภาพเขียนผนังที่ชื่อว่า Fresco และห้องใต้ดินอย่าง The Crypt นอกจากนี้โดมของมหาวิหารดังกล่าวยังมีขนาดสูงที่สุดเมื่อ 500 กว่าปีที่แล้ว โดยที่ไม่มีการสร้างคานหรือเสาค้ำ การจะขึ้นไปบนโดมดังกล่าว มหาวิหารแห่งนี้จัดว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองฟลอเรนซ์ จะต้องเดินขึ้นบันได 463 ขั้น ไม่สามารถอาศัยลิฟต์ได้ สถานที่แห่งนี้ยังจัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองฟลอเรนซ์ ดังนั้นหากคุณต้องการเยี่ยมชม จะต้องแต่งกายให้สุภาพเหมาะสม
ถือเป็นที่เที่ยวอิตาลีที่คุณต้องไม่พลาดถ้าหากมาเยือนอิตาลีเป็นครั้งแรก เพราะที่เที่ยวแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอิตาลีกันเลยทีเดียว โดยการมาเที่ยวมหาวิหารปิซ่า จะทำให้คุณได้เยี่ยมชมทั้งมหาวิหารปิซ่า ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Romanesque แท้ๆ ซึ่งได้ชื่อว่ามีความสวยงามอลังการ และหอเอนเมืองปิซ่า หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่หลายคนรู้จัก มหาวิหารปิซ่านั้นได้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1093 ภายใต้การออกแบของ Buscheto
หอเอนเมืองปิซ่า ถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาว ความน่าสนใจของหอเอนดังกล่าวคือ มีการหยุดสร้างเมื่อสร้างไปได้ 3 ชั้น เนื่องจากเกิดการเอนตัว จากการยุบตัวของดินที่มีความนิ่ม จึงทำให้มีการสร้างให้หนักไปอีกข้างเพื่อให้มีความสมดุล แต่ต้องหยุดชะงักเพราะสงคราม และเมื่อมีการสร้างต่อไปเรื่อยๆ ก็พบว่าตึกดังกล่าวมีการเอียงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จนหลายคนให้คำทำนายว่าจะต้องมีการเอนล้มในอนาคต ซึ่งกิจกรรมยอดนิยมที่พลาดไม่ได้ถ้ามาที่นี่ก็คือการถ่ายรูปกับหอเอนปิซ่า แต่ถ้าหากคุณมีเวลาก็อยากให้ลองเข้าไปเยี่ยมชมวิหารด้านในที่มีความงดงาม อลังการ
มหาวิหารอีกหนึ่งที่ ที่ถ้ามาเที่ยวอิตาลีแล้วควรต้องแวะไปเยี่ยมชม ก็คือ มหาวิหารเซียนา หรือ Duomo Di Siena ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเซียนา ถือเป็นหนึ่งในมหาวิหารที่มีชื่อเสียงของนิกายโรมันคาทอลิก มหาวิหารเซียนา ถูกออกแบบและสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ 1215 ถึง ค.ศ. 1263 ตั้งอยู่บนฐานวัดเก่า มีแผนผังเป็นแบบกางเขนละติน ที่มีส่วนขวายื่นออกมามากว่าปกติ ด้านนอกและด้านในจะตกแต่งด้วยหินอ่อนขาวสลับเขียวดำ และยังมีการแทรกเพิ่มเติมด้วยหินอ่อนสีชมพู
ประวัติศาสตร์สำคัญของมหาวิหารแห่งนี้คือ มีการประชุมสถาบาทหลวง หรือ Synod เกิดขึ้นที่นี่ จนทำให้มีการเลือกนิโคลัสที่ 2 เป็นพระสันตะปาปา และปลดสมเด็จพระสันตะปาปาเท็จเบเนดิกต์ที่ 10 ออกจากตำแหน่ง หากชื่นชอบประวัติศาสตร์จึงไม่ควรพลาดที่จะไปเยี่ยมชมวิหารนี้
มืองมิลานของอิตาลี นั้นไม่ได้มีดีแค่เป็นเมืองแฟชั่นเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วมิลานเองก็มีมหาวิหารมิลาน ที่มีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมแบบ Gothic และถือเป็น มหาวิหารแบบ Gothic ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก มีความสูง 157 เมตรและกว้าง 92 เมตร เริ่มก่อสร้างในปีค.ศ. 1386 โดยจิอาน กาเลอัซโช วิสคอนดิ แห่งตระกูลวิสคอนดิ เพื่อสักการะพระแม่มารีให้ประทานบุตรชายเพื่อเป็นทายาทสืบทอดตระกูล
มหาวิหารแห่งนี้จะมีความโดดเด่นตรงที่มียอดแหลมอยู่บนหลังคาถึง 135 ยอด จึงทำให้มองดูแล้วมีความวิจิตร ตระการตา และในบริเวณยอดใหญ่ตรงกลาง ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Madunina ซึ่งเป็นรูปปั้นแม่พระ ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวอิตาลีนิยมทำกันก็คือขึ้นไปชมทัศนียภาพของทั้งเมืองมิลาน